ลูกจ้างวิ่งรถออกเส้นทางแล้วเกิดอุบัติเหตุ จะขอรับเงินจากกองทุนเงินทดแทนได้หรือไม่

โจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถหกล้อไปส่งวัสดุก่อสร้างให้นายจ้าง   และนายจ้างได้ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนตามกฎหมาย    เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา   นายจ้างสั่งให้โจทก์ขับรถนำวัสดุก่อสร้างไปส่งให้ลูกค้าของนายจ้างที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุรินทร์  โดยวิ่งไปตามถนนสุรินทร์-ปราสาท  แล้วเลี้ยวเข้าถนนเลียบคลองชลประทาน  เมื่อไปถึงบ้านลูกค้าและขนส่งวัสดุก่อสร้างลงให้แก่ลูกค้าจนเสร็จแล้ว   โจทก์ได้ขับรถกลับไปตามถนนเลียบคลองชลประทานเพื่อกลับไปสถานที่ทำงานของนายจ้าง  แต่ระหว่างทางผ่านบ้านของนาย ส.   โจทก์แวะเข้าไปบ้านนาย ส. เพื่อขอยืมเงิน   โดยถอยรถเข้าไปจอดในทางเข้าบ้านห่างถนนประมาณ 10 เมตร   โจทก์ก็ออกมาเพื่อจะขับรถกลับไปที่ร้านของนายจ้าง  แต่รถติดหล่ม โจทก์จึงไปยืมรถจักยานยนต์ของน้องชายขับกลับไปที่ร้านของนายจ้างเพื่อตามเพื่อนไปช่วยยกรถที่ติดหล่ม  แต่โจทก์ประสบอุบัติเหตุชนกับรถจักรยานยนต์อื่น    

ต่อมาโจทก์ได้ยื่นขอรับเงินทดแทนกรณีลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายเนื่องจากการทำงานต่อกองทุนเงินทดแทน ตามประราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2535  มาตรา 5 แต่เจ้าพนักงานกองทุนเงินทดแทนเห็นว่าไม่ใช่กรณีโจทก์ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน จึงมีคำสั่งปฏิเสธ  โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งให้คณะกรรม การกองทุนเงินทดแทนวินิจฉัย แต่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีคำวินิจฉัยยืนตามคำสั่งเดิม  โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและขอให้สำนักงานประกันสังคมจำเลยมีคำสั่งจ่ายเงินทดแทนตามกฎหมายให้แก่โจทก์

ศาลแรงงานภาค 3   พิพากษาเพิกถอนตามคำฟ้องโจทก์

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาว่า  โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ขับรถบรรทุกไปส่งวัสดุก่อสร้างที่บ้านลูกค้าและออกนอกจากเส้นทางปฏิบัติงาน โดยแวะไปพบนาย ส.เพื่อขอยืมเงินนั้น เป็นการทำธุระส่วนตัว และที่โจทก์ไปตามเพื่อนมาช่วยยกรถที่ติดหล่มและเกิดอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่การประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน

บัตรกดเงินสด ซิตี้ เรดดี้เครดิต

ศาลฎีกาแผนคดีแรงงาน  เห็นว่า  ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537  มาตรา 5  ลูกจ้างที่จะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนนั้นต้องเป็นกรณีที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายเนื่องจากการทำงาน  หรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือตามคำสั่งของนายจ้างเท่านั้น  คดีนี้โจทก์ประสบอุบัติเหตุเนื่องจากโจทก์ขับรถของนายจ้างไปติดหล่ม  และโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ไปตามเพื่อนมาช่วยยกรถที่ติดหล่มนั้น   ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า  สาเหตุที่โจทก์ขับรถติดหล่มเกิดจากโจทก์ขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อไปยืมเงินนาย ส.    แม้การออกนอกเส้นทางของโจทก์จะเป็นเพียงขับรถของนายจ้างเข้าไปจอดในทางเข้าบ้านของนาย ส.  โดยจอดห่างถนนเข้าไปประมาณ 10 เมตร เพื่อมิให้กีดขวางถนนก็ตาม  แต่ก็เป็นการขับรถของนายจ้างไปทำธุระส่วนตัวของโจทก์แล้วอันเป็นการะทำนอกทางการที่จ้าง เมื่อโจทก์ขับรถนายจ้างไปติดหล่มย่อมเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่โจทก์จะต้องแก้ไขความผิดพลาดอันเกิดจากการกระทำของตนเองที่ขับรถของนายจ้างไปนอกเส้นทางเพื่อประโยชน์ของตน  และโจทก์จำเป็นต้องจัดการเอารถของนายจ้างขึ้นจากหล่มให้ได้เพื่อปกปิดมิให้นายจ้างทราบว่าขับรถของนายจ้างออกนอกเส้นทางไปทำธุระส่วนตัวและเพื่อให้การทำงานในหน้าที่ของตนเสร็จสิ้นไป โดยนายจ้างไม่ทราบว่าโจทก์แอบขับรถนายจ้างไปทำธุระส่วนตัวอันเป็นการกระทำนอกจากทางการที่จ้าง 

ดังนั้น เมื่อโจทก์ขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปตามเพื่อนร่วมงานมาช่วยยกรถของนายจ้าง และประสบอุบัติเหตุชนกับรถจักรยานยนต์อื่นที่วิ่งตัดหน้าจนทำให้ตาขวาของโจทก์บอดสนิท  สมองช้ำ    จึงไม่เป็นการประสบอันตรายตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537  โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทน   ที่ศาลแรงงานภาค 3 พิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย  อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น    พิพากษากลับ  ให้ยกฟ้องโจทก์

 

อ้างคำพิพากษาศาลฎีกา 1975/2557

ข้อสังเกตุ   คำพิพากษาฎีกานี้เป็นการวินิจฉัยกรณีลูกจ้างเป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่ไม่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 โดยศาลเห็นว่า  การที่ลูกจ้างวิ่งรถออกนอกเส้นทาง  ถือว่าเป็นนอกทางการที่จ้างของนายจ้าง ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน ตามกฎหมายดังกล่าว    แต่หากเป็นกรณีบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่กรณีที่ถูกเฉี่ยวชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องลูกจ้างกับนายจ้างให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในฐานละเมิด ตาม ป.พ.พ.มาตรา 420 และมาตรา 425  ที่กำหนดให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในกรณีลูกจ้างขับรถโดยประมาทเลินเล่อในทางการที่จ้างหรือในระหว่างทำงานให้กับนายจ้างจนมีบุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย  ซึ่งจะมีคำพิพากษาหลายฎีกาที่วินิจฉัยไว้  แม้ลูกจ้างจะวิ่งรถออกนอกเส้นทางหรือแวะทำธุระส่วนตัวในระหว่างไปทำงานให้นายจ้างก็ตาม ถือว่าลูก จ้างยังทำงานอยู่ในทางการที่จ้างของนายจ้าง นายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหาย ตามบทกฎหมายดังกล่าว 

ความคิดเห็น