
ต่อมาโจทก์ได้ยื่นขอรับเงินทดแทนกรณีลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายเนื่องจากการทำงานต่อกองทุนเงินทดแทน
ตามประราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2535 มาตรา
5 แต่เจ้าพนักงานกองทุนเงินทดแทนเห็นว่าไม่ใช่กรณีโจทก์ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน
จึงมีคำสั่งปฏิเสธ โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งให้คณะกรรม การกองทุนเงินทดแทนวินิจฉัย แต่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีคำวินิจฉัยยืนตามคำสั่งเดิม โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและขอให้สำนักงานประกันสังคมจำเลยมีคำสั่งจ่ายเงินทดแทนตามกฎหมายให้แก่โจทก์
ศาลแรงงานภาค
3 พิพากษาเพิกถอนตามคำฟ้องโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ขับรถบรรทุกไปส่งวัสดุก่อสร้างที่บ้านลูกค้าและออกนอกจากเส้นทางปฏิบัติงาน
โดยแวะไปพบนาย ส.เพื่อขอยืมเงินนั้น เป็นการทำธุระส่วนตัว
และที่โจทก์ไปตามเพื่อนมาช่วยยกรถที่ติดหล่มและเกิดอุบัติเหตุนั้น
ไม่ใช่การประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน
ศาลฎีกาแผนคดีแรงงาน เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 5 ลูกจ้างที่จะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนนั้นต้องเป็นกรณีที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายเนื่องจากการทำงาน หรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือตามคำสั่งของนายจ้างเท่านั้น คดีนี้โจทก์ประสบอุบัติเหตุเนื่องจากโจทก์ขับรถของนายจ้างไปติดหล่ม และโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ไปตามเพื่อนมาช่วยยกรถที่ติดหล่มนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า สาเหตุที่โจทก์ขับรถติดหล่มเกิดจากโจทก์ขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อไปยืมเงินนาย ส. แม้การออกนอกเส้นทางของโจทก์จะเป็นเพียงขับรถของนายจ้างเข้าไปจอดในทางเข้าบ้านของนาย ส. โดยจอดห่างถนนเข้าไปประมาณ 10 เมตร เพื่อมิให้กีดขวางถนนก็ตาม แต่ก็เป็นการขับรถของนายจ้างไปทำธุระส่วนตัวของโจทก์แล้วอันเป็นการะทำนอกทางการที่จ้าง เมื่อโจทก์ขับรถนายจ้างไปติดหล่มย่อมเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่โจทก์จะต้องแก้ไขความผิดพลาดอันเกิดจากการกระทำของตนเองที่ขับรถของนายจ้างไปนอกเส้นทางเพื่อประโยชน์ของตน และโจทก์จำเป็นต้องจัดการเอารถของนายจ้างขึ้นจากหล่มให้ได้เพื่อปกปิดมิให้นายจ้างทราบว่าขับรถของนายจ้างออกนอกเส้นทางไปทำธุระส่วนตัวและเพื่อให้การทำงานในหน้าที่ของตนเสร็จสิ้นไป โดยนายจ้างไม่ทราบว่าโจทก์แอบขับรถนายจ้างไปทำธุระส่วนตัวอันเป็นการกระทำนอกจากทางการที่จ้าง
ดังนั้น
เมื่อโจทก์ขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปตามเพื่อนร่วมงานมาช่วยยกรถของนายจ้าง
และประสบอุบัติเหตุชนกับรถจักรยานยนต์อื่นที่วิ่งตัดหน้าจนทำให้ตาขวาของโจทก์บอดสนิท สมองช้ำ จึงไม่เป็นการประสบอันตรายตามมาตรา
5 แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537
โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทน
ที่ศาลแรงงานภาค 3 พิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ
ให้ยกฟ้องโจทก์
อ้างคำพิพากษาศาลฎีกา
1975/2557

ข้อสังเกตุ คำพิพากษาฎีกานี้เป็นการวินิจฉัยกรณีลูกจ้างเป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคมและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่ไม่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง
ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 โดยศาลเห็นว่า การที่ลูกจ้างวิ่งรถออกนอกเส้นทาง ถือว่าเป็นนอกทางการที่จ้างของนายจ้าง ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน
ตามกฎหมายดังกล่าว แต่หากเป็นกรณีบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่กรณีที่ถูกเฉี่ยวชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องลูกจ้างกับนายจ้างให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในฐานละเมิด
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 420 และมาตรา 425
ที่กำหนดให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในกรณีลูกจ้างขับรถโดยประมาทเลินเล่อในทางการที่จ้างหรือในระหว่างทำงานให้กับนายจ้างจนมีบุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย ซึ่งจะมีคำพิพากษาหลายฎีกาที่วินิจฉัยไว้ แม้ลูกจ้างจะวิ่งรถออกนอกเส้นทางหรือแวะทำธุระส่วนตัวในระหว่างไปทำงานให้นายจ้างก็ตาม ถือว่าลูก จ้างยังทำงานอยู่ในทางการที่จ้างของนายจ้าง นายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหาย
ตามบทกฎหมายดังกล่าว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น