ระหว่างพิจารณาผู้รับประกันภัยรถโดยสารประจำทางของจำเลยที่
3 ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องให้เรียกผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่
2 ขับเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 2
โดยจำเลยร่วมทั้งสองรับประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถดังกล่าวด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมที่
1 และจำเลยร่วมที่ 2 ชำระเงินคนละ 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสอง
และยกฟ้องโจทก์ทั้งสองในส่วนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4
จำเลยร่วมทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมทั้งสองชำระเงินคนละ 17,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า
จำเลยร่วมทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถให้แก่โจทก์ทั้งสองด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า ขณะเกิดเหตุนาย ว.ขับรถจักรยานยนต์โดยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียวแทรกระหว่างรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่
1 ขับและรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับแล้วเกิดเฉี่ยวชนกับรถทั้งสองเป็นเหตุให้ นาย ว.
ได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า“ ในกรณีที่รถตั้งแต่สองคันขึ้นไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประสบภัยซึ่งอยู่ในรถคัน
ให้บริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์แต่ละคันจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยซึ่งอยู่ในรถคันที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัท
” เห็นได้ว่า เมื่อนาย ว.
เป็นฝ่ายขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถทั้งสองคันเป็นเหตุให้ตนเองถึงแก่ความตาย
ผู้มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นก็คือบริษัทรับประกันภัยรถจักรยานยนต์คันที่
นาย ว.ขับ
หรือหากรถจักรยานยนต์คันที่ขับไม่ได้จัดให้มีการประกันภัยความเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
พ.ศ.2535 และเจ้าของรถจักรยานยนต์คันที่นาย
ว.ขับไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันภัยหรือจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นไม่ครบจำนวน กฎหมายกำหนดให้สำนักงานกองทุนทดแทนผู้ประกันภัยเป็นผู้จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันภัย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 23 (1) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
จำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยที่ 2 มิได้เป็นผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถคันที่นาย ว.ขับจึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นแก่โจทก์ทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยว่า นาย ว. เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ประมาทเลินเล่อด้วย จำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิด ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกาที่
8446/2559
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น