โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัท
ม กับ สหกรณ์ ม. ได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทรณ์และบังคับให้สำนักงานประกันสังคมซึ่งเป็นจำเลยจ่ายบำเหน็จกรณีชราภาพและคืนเงินสมทบที่ถูกหักไว้เกินจำนวนแก่โจทก์ สืบเนื่องมาจากวันที่
1 เมษายน 2548
โจทก์ได้ออกจากงานทั้งสองแห่ง ก่อนออกจากงานโจทก์ได้ส่งเงินสมทบเกินจำนวนตั้งแต่เดือนมีนาคม
2547 ถึงเดือนมีนาคม 2548 ต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2549 โจทก์ได้ยื่นขอรับเงินเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน
33,000 บาท พร้อมกับเงินสมทบที่หักไว้เกินจำนวน 3,325 บาทที่บริษัท ม กับ สหกรณ์ ม.
ซี่งเป็นนายจ้างของโจทก์ได้หักค่าจ้างของโจทก์นำส่งกองทุนประกันสังคมไว้เกินซี่งเป็นเรื่องระหว่างนายจ้างกับสำนักงานประกันสังคมจำเลย
ทั้งนายจ้างและโจทก์ไม่ทราบมาก่อนว่าได้ส่งเงินสมทบของโจทก์เกินจำนวน และจำเลยไม่เคยแจ้งให้นายจ้างหรือโจทก์ทราบมาก่อน
โจทก์เพิ่งมาทราบว่ามีสิทธิได้รับเงินสมทบส่วนที่เกินในวันที่โจทก์ยื่นคำขอรับเงินประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ จึงยื่นคำขอรับเงินส่วนนี้ในวันเดียวกันด้วย แต่คณะกรรมการอุทธรณ์วินิจฉัยและสำนักงานประกันสังคมมีคำสั่งไม่จ่ายเงินกรณีชราภาพและเงินสมทบที่ส่งเกินให้โจทก์ เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนภายใน
1 ปีนับแต่วันที่มีสิทธิ
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานว่าไม่ต้องคืนเงินสมทบให้แก่โจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 47 วรรคสี่
แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533
กำหนดระยะเวลาให้ผู้ประกันตนเรียกเอาเงินสมทบที่นายจ้างส่งให้แก่สำนักงานประกันสังคมเกินจำนวนที่ต้องชำระคืนภายใน
1 ปีนับแต่วันที่นำส่งเงินสมทบหรือภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งให้มารับคืนนั้น เป็นกำหนดระยะเวลาเร่งรัดให้ผู้ประกันตนใช้สิทธิขอรับเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนที่นายจ้างเป็นผู้นำส่งให้แก่สำนักงานประกันสังคมเกินจำนวนที่ต้องชำระคืนโดยเร็ว
ผู้ประกันตนจึงต้องได้รับทราบว่านายจ้างนำส่งเงินสมทบดังกล่าวเกินจำนวนที่ต้องชำระด้วยหรือผู้ประกันตนต้องได้รับแจ้งให้มารับเงินนั้นด้วย เมื่อโจทก์ไม่เคยทราบมาก่อนว่านายจ้างนำส่งเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตนเกินจำนวนที่ต้องชำระและจำเลยไม่เคยแจ้งให้โจทก์มารับเงินดังกล่าว แต่โจทก์เพิ่งทราบว่านายจ้างนำส่งเงินสมทบในส่วนของผุ้ประกันตนเกินจำนวนที่ต้องชำระในวันที่โจทก์มายื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ และโจทก์ได้ขอรับเงินสมทบที่นายจ้างนำส่งเกินดังกล่าวคืนในวันเดียวกันนั้น
กรณีจึงต้องถือว่าโจทกืได้ใช้สิทธิเรียกเอาเงินส่วนของผู้ประกันตนที่นายจ้างนำส่งเกินคืนภายในกำหนด
1 ปีตามนัยแห่งบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว เงินนั้นยังไม่ตกเป็นของกองทุนประกันสังคม จำเลยต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์
ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11267/2558
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น